ซุปกิมจิเกาหลี

วิธีทำ “ซุปกิมจิ” เมนูอาหารเกาหลี ทำกินเองง่าย ๆ ไม่ต้องไปถึงเกาหลี!

ซุปกิมจิ เป็นอาหารเกาหลีที่หลายๆ คนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะสามารถพบเห็นได้ในซีรีส์เกาหลีอยู่บ่อยครั้ง โดยเมนูนี้ถือว่าเป็นเมนูอาหารเกาหลีโบราณที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี และถือว่าเป็นเคล็ดลับที่ช่วยให้ชาวเกาหลีสุขภาพดีอีกด้วย 

ดังนั้น ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปดูสูตรซุปกิมจิ และวิธีทำซุปกิมจิที่สามารถทำเองได้ที่บ้านแบบง่ายๆ แต่มีรสชาติอร่อยเหมือนต้นตำรับ รวมถึง ซุปกิมจิสูตรร่วมสมัย ซึ่งจะมีวัตถุดิบ ส่วนผสม  วิธีทำ และเคล็ดลับอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย!

 

เปิดตำนานซุปกิมจินั้นมาจากไหน ?

กิมจิ มีต้นกำเนิดมาจากความต้องการถนอมอาหารของชาวเกาหลีในสมัยก่อน เพราะว่าในช่วงฤดูหนาวของประเทศเกาหลีนั้นมีอากาศหนาวจัด และไม่เหมาะกับการเพาะปลูก โดยการหมักดองแบบดั้งเดิมในศตวรรษที่ 7 จะเป็นการนำหัวผักกาด หรือผักต่างๆ มาหมักดองกับเกลือใส่ไว้ในไห และนำไปฝังไว้ในดิน 

ในสมัยโชซอนได้มีการเพิ่มเหล้าเข้ามาในการหมักดองด้วย และหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งเป็นช่วงราวศตวรรษที่ 17 ได้มีการนำเข้าผักจากต่างประเทศ และได้มีการนำเข้าพริกแดงจากญี่ปุ่น จึงทำให้พริกแดงกลายมาเป็นอีกส่วนผสมสำคัญของการหมักดองกิมจิในปลายสมัยโชซอน จนกลายมาเป็นกิมจิสีแดงที่เป็นทั้งเครื่องเคียงหมูย่างเกาหลี และส่วนประกอบของเมนูอาหารเกาหลียอดฮิต และสูตรซุปกิมจิแบบต่างๆ ในปัจจุบัน และเป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในประเทศเกาหลี และทั่วโลก

 

สูตรซุปกิมจิ พร้อมส่วนผสม และวิธีทำ

สูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิม เป็นสูตรที่มีส่วนผสม และวิธีทำตามฉบับเกาหลีแท้ จึงทำให้ซุปกิมจิที่ได้นั้นมีรสชาติเข้มข้น และกลมกล่อมเหมือนต้นตำรับ ทั้งนี้ บางคนอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆ เข้าไปตามใจชอบ เช่น การเปลี่ยนไปใช้เต้าหู้ไข่แทนเต้าหู้อ่อน การเพิ่มหมูสามชั้นสไลด์ หรือเพิ่มเส้นอุด้งลงไป เป็นต้น เพื่อเพิ่มความอร่อย และช่วยให้อิ่มนานมากยิ่งขึ้น

วัตถุดิบและส่วนผสม

สำหรับวัตถุดิบ และส่วนผสมของสูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิมมีทั้งหมด ดังนี้

  • กิมจิ 100 กรัม
  • หมูสามชั้น หั่นเต๋า 300-400 กรัม
  • เต้าหู้ขาวอ่อน 1 หลอด(แท่ง)
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • เห็ดเข็มทอง 100 กรัม
  • หอมหัวใหญ่ ½ หัว
  • ต้นหอมยักษ์หรือต้นหอมญี่ปุ่นหั่น 2 ต้น
  • ต้นหอมซอย (ไว้สำหรับโรยหน้า)
  • พริกป่นเกาหลี 1 ช้อนชา
  • ซอสโคชูจัง 1 ช้อนชา
  • น้ำมันงา 1 ช้อนชา
  • เกลือ ¼ ช้อนชา 
  • น้ำเปล่า 400 มิลลิลิตร

 

เวลาเตรียม : 30 นาที   เวลาปรุง : 40 นาที    แคลอรี่ : 400 Kcal/เสิร์ฟ     สำหรับรับประทาน : 1-2 ท่าน

วิธีทำ

สำหรับวิธีทำซุปกิมจิแบบดั้งเดิมมีทั้งหมด ดังนี้

  • เริ่มจากการตั้งหม้อด้วยไฟปานกลาง และรอให้หม้อร้อน จึงค่อยใส่หมูสามชั้นลงไป ตามด้วยน้ำมันงา และผัดจนหมูสามชั้นสุก
  • เมื่อผัดจนหมูสามชั้นจนสุกแล้ว ให้ใส่กิมจิลงไป และคลุกเคล้าให้เข้ากัน
  • หลังจากคลุกเคล้าหมูสามชั้น และกิมจิเข้ากันแล้ว ให้ใส่หอมหัวใหญ่ ต้นหอมยักษ์ และซอสโคชูจังตามลงไป และคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง
  • เมื่อผัดจนวัตถุดิบ และส่วนผสมต่างๆ เข้ากันแล้ว ให้ใส่น้ำเปล่าลงไป และรอจนกว่าน้ำจะเดือด
  • เมื่อน้ำเดือดแล้ว ให้ใส่เกลือ พริกป่นเกาหลี เห็ดเข็มทอง และเต้าหู้อ่อนขาวลงไป พร้อมกับคนวัตถุดิบ และส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากันอย่างเบามือ
  • หลังจากคนวัตถุดิบ และส่วนผสมต่างๆ เข้ากันแล้ว ให้ตอกไข่ลงไป และโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย ก็จะได้ซุปกิมจิแสนอร่อยไว้ทานแล้ว

 

สูตรซุปกิมจิร่วมสมัย ที่อร่อยไม่แพ้กับสูตรดั้งเดิม

ถึงแม้ว่าซุปกิมจิแบบดั้งเดิมนั้นจะมีความอร่อย และกลมกล่อมอย่างลงตัว แต่ว่าในปัจจุบันนั้นซุปกิมจิได้กลายเป็นเมนูอาหารเกาหลีที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย จึงทำให้มีสูตรซุปกิมจิที่มีการปรับเปลี่ยนให้ร่วมสมัยมากขึ้น โดยสูตรซุปกิมจิร่วมสมัยที่อร่อยไม่แพ้สูตรดั้งเดิมมีทั้งหมด ดังนี้

สูตรสตูว์ซุปกิมจิ

สูตรสตูว์ซุปกิมจิ เป็นสูตรที่มีวัตถุดิบ และส่วนผสมเหมือนกับสูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิม แต่ว่าจะมีการเปลี่ยนเนื้อสัตว์ที่จะใส่ลงไปในซุปกิมจิ โดยจะใช้เนื้อสัตว์ส่วนที่ติดมันมาหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ และจะตุ๋นให้เนื้อนั้นเปื่อย และนุ่ม เพื่อนำมาใส่ลงในซุปกิมจิแทนหมูสามชั้น โดยในสูตรสตูว์จะเลือกใช้เป็นเนื้อวัวหรือเนื้อหมูก็ได้เช่นกัน 

แต่ถ้าหากใช้เนื้อวัวให้ระวังในเรื่องของกลิ่นคาว เพราะอาจทำให้กลิ่นของซุปกิมจินั้นเหม็นคาว หรือรสชาติเปลี่ยนไปได้ ดังนั้น จึงควรดับกลิ่นคาวของเนื้อวัวให้ดีก่อนจะนำไปทำซุปกิมจิสูตรสตูว์

ซุปกิมจินมถั่วเหลือง

สูตรซุปกิมจินมถั่วเหลือง เป็นสูตรที่มีวัตถุดิบ และส่วนผสมคล้ายกับสูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิม แต่ว่าจะมีการปรับเปลี่ยน และเพิ่มวัตถุดิบวัตถุดิบหรือส่วนผสมบางอย่างเข้ามา โดยเปลี่ยนเป็นใช้เนื้อหมูส่วนสะโพก หรือเนื้อสันนอกที่มีความนุ่มหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ พร้อมกับเพิ่มหัวไชเท้า แครอท นมถั่วเหลือง และมิโซะ หรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นบดลงไป เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้น้ำซุป และเพิ่มคุณค่าทางโภชนการให้กับเมนูซุปกิมจิมากยิ่งขึ้น

ซุปกิมจิสูตรสุขภาพ

สูตรซุปกิมจิแบบรักสุขภาพ จะมีการเปลี่ยนวัตถุดิบ และส่วนผสมให้คลีนมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากการใช้หมูสามชั้นหรือเนื้อสัตว์ติดมัน เป็นการใช้เนื้อไม่ติดมันหรืออกไก่แทน เพื่อลดไขมันและเพิ่มโปรตีนมากยิ่งขึ้น พร้อมกับลดเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น การลดหรือไม่ใส่ซอสโคชูจังที่มีส่วนผสมของโซเดียม หรือพริกป่นเกาหลี เพื่อลดความจัดจ้านของน้ำซุปให้น้อยลง และอาจจะมีการเพิ่มผักต่างๆ เข้าไป เช่น หัวไชเท้า หรือแครอท เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ จึงเป็นสูตรซุปกิมจิที่เหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักหรือกำลังควบคุมอาหารเป็นอย่างดี

เคล็ดลับทำซุปกิมจิอย่างไร ให้อร่อย

ถึงแม้ว่าสูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิม หรือแบบร่วมสมัยจะมีรสชาติอร่อย และความกลมกล่อมที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว แต่ว่าทุกคนก็สามารถเสริมความอร่อยให้มากขึ้นได้ด้วย 4 เคล็ดลับที่จะช่วยให้ซุปกิมจิของทุกคนนั้นอร่อยเหมือนต้นตำรับมากยิ่งขึ้น ดังนี้

 

เลือกใช้กิมจิที่สดใหม่

วิธีทำซุปกิมจิให้อร่อยนั้นควรเลือกใช้กิมจิที่มีความสดใหม่ เพราะว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสของผักสามารถเปลี่ยนไปได้ตามระยะเวลาที่ได้ทำการหมักดองไว้ ถ้าหากเลือกใช้กิมจิที่ดอง หรือเก็บมานานอาจทำให้ผักเปื่อยเกินไป เมื่อนำมาทำซุปกิมจิอาจทำให้ผักเละ และไม่สามารถตักทานเป็นคำได้ ดังนั้น จึงควรเลือกกิมจิที่ใช้เวลาหมักดองประมาณ 14-30 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผักกำลังกรอบอร่อย และรสชาติเข้มข้นกำลังพอดีมากที่สุด

 

ซุปกิมจิแท้ต้องใส่ต้นหอมยักษ์

เคล็ดลับความอร่อยของซุปกิมจิแบบต้นตำรับ คือ การใส่ต้นหอมยักษ์ลงในซุปกิมจิ โดยต้นหอมยักษ์นั้นเป็นเครื่องเทศของประเทศเกาหลีใต้ที่นำมาใช้ในการดับกลิ่นคาวของเนื้อตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน และช่วยเสริมให้กลิ่นของซุปกิมจินั้นเป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น คล้ายกับแกงกะหรี่ของญี่ปุ่นหรืออินเดีย ที่มักจะเลือกใช้เครื่องเทศของประเทศตัวเอง เพื่อให้อาหารนั้นมีกลิ่นที่เป็นตัวพิสูจน์และบ่งบอกถึงสัญชาติของอาหารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

เต้าหู้อ่อน เคล็ดลับของความอูมามิ

หลายๆ คนอาจจะชอบใส่เต้าหู้ไข่ลงในซุปกิมจิแทนเต้าหู้อ่อน เพราะว่ามีรสชาติอร่อย เข้มข้น และกินง่ายกว่า แต่รู้หรือไม่ว่าเต้าหู้อ่อนนั้นถือว่าเป็นเคล็ดลับความอร่อยของซุปกิมจิ โดยเต้าหู้อ่อนนั้นมีรสชาติอ่อน กลิ่นหอม และมีเนื้อสัมผัสนิ่ม ซึ่งกิมจินั้นจะมีกรดอะมิโนที่ช่วยให้ซุปมีความเข้มข้น และกลมกล่อม เมื่อนำเต้าหู้อ่อนใส่ลงไปในน้ำซุปกิมจิก็จะทำให้เต้าหู้อ่อนนั้นดูดซึมรสชาติของซุปกิมจิได้มากกว่า และทำให้ตัวเต้าหู้อ่อนนั้นมีรสชาติที่กลอมกล่อม และอร่อยกว่าเต้าหู้ชนิดอื่นๆ เป็นอย่างมาก

 

ทอดหมูให้คลายมัน

เคล็ดลับสุดท้ายที่จะช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับซุปกิมจิ คือ การทอดหมูให้คลายมัน โดยการนำหมูสามชั้นมาคั่ว หรือทอดในกระทะ เพื่อรีดน้ำมันจากหมูสามชั้นก่อนนำไปใส่ลงในซุปกิมจิ และในระหว่างคั่ว หรือทอดนั้นอาจจะใส่มิรินลงไปเล็กน้อย เพื่อให้หมูมีรสชาติหวานและเข้มข้น ซึ่งเคล็ดลับนี้จะทำให้หมูสามชั้นนั้นเข้ากับน้ำซุปกิมจิได้ดี มีความอร่อย และกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น

 

-------------------------------

 

 

Visitors: 24,692